Manila

on intermediary liability

อารัมภบท

อารัมภบท

การสื่อสารใด ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตต้องผ่านช่องทางของสื่อตัวกลาง อย่างเช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เครือข่ายสังคม และเว็บไซต์เพื่อการค้นหา นโยบายกำกับดูแลความรับผิดทางกฎหมายของสื่อตัวกลางในแง่เนื้อหาการสื่อสารเหล่านี้ มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ใช้งาน ทั้งในแง่เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการสมาคม และสิทธิในความเป็นส่วนตัว

เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก และสนับสนุนโครงสร้างเพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่อยู่บนความสมดุลของความต้องการของภาครัฐกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ กลุ่มภาคประชาสังคมทั่วโลกได้ประชุมและเสนอกรอบหลักประกันขั้นพื้นฐานและแนวปฏิบัติที่ดีสุด ทั้งนี้โดยมีที่มาจากตัวบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกรอบกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ

อ่านเพิ่มเติม

นโยบายที่นำมาใช้โดยไม่มีการประกาศ มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด รุนแรง และไม่สอดคล้องกับหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน และการใช้นโยบายอย่างไม่คงเส้นคงวา ส่งผลให้เกิดการเซ็นเซอร์และการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลและภาคเอกชน เป็นการจำกัดสิทธิในการแสดงออกอย่างเสรีของบุคคลและทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่คลุมเครือ ปิดกั้นความริเริ่มสร้างสรรค์ทางอินเทอร์เน็ต

ผู้กำหนดนโยบายและสื่อตัวกลางควรคำนึงถึงกรอบเหล่านี้ ในการจัดทำ รับรอง และแก้ไขกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติที่กำกับดูแลความรับผิดของสื่อตัวกลางกรณีที่เป็นเนื้อหาของ บุคคลที่สาม เรามีวัตถุประสงค์สนับสนุนการพัฒนาระบบความรับผิดที่ใช้ได้อย่างเป็นสากลและ สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ ที่มุ่งส่งเสริมความริเริ่มสร้างสรรค์พร้อมกับการเคารพสิทธิของผู้ใช้งานอย่างสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights - UDHR) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) และหลักการปฏิบัติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights)

 

1

สื่อตัวกลางควรได้รับการคุ้มครองจากความรับผิดกรณีที่เป็นเนื้อหาของบุคคลที่สาม

  1. ระเบียบกำกับดูแลความรับผิดของสื่อตัวกลางใด ๆ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องมีข้อบทที่เฉพาะเจาะจง ชัดเจน และสามารถเข้าถึงได้

  2. สื่อตัวกลางควรได้รับการคุ้มครองจากความรับผิดกรณีที่เนื้อหาเป็นของบุคคลที่สาม โดยสื่อตัวกลางไม่ได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหานั้นแต่อย่างใด

  3. สื่อตัวกลางต้องไม่ถูกฟ้องร้องเพื่อเอาผิดกรณีที่ไม่ควบคุมเนื้อหาที่ชอบด้วยกฎหมาย

  4. สื่อตัวกลางต้องไม่ถูกฟ้องตามกฎหมายอย่างเข้มงวด กรณีที่เป็นตัวกลางจัดเก็บและเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบุคคลที่สาม และไม่ควรถูกบังคับตามนโยบายความรับผิดของสื่อตัวกลางให้ต้องควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดต่อเนื้อหาที่เผยแพร่

2

ต้องไม่กำหนดให้ควบคุมเนื้อหา เว้นแต่มีคำสั่งจากหน่วยงานศาล

  1. ต้องไม่กำหนดให้สื่อตัวกลางควบคุมเนื้อหา เว้นแต่มีคำสั่งมาจากหน่วยงานศาลที่เป็นอิสระและไม่ลำเอียง ภายหลังการพิจารณาว่าเนื้อหาในข้อพิพาทนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

  2. คำสั่งเพื่อควบคุมเนื้อหาต้อง

    1. ระบุหลักเกณฑ์อันเป็นเหตุให้วินิจฉัยว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายตามเขตอำนาจศาลนั้น

    2. ระบุตัวบ่งชี้ตำแหน่งบนอินเทอร์เน็ต (Internet identifier) และอธิบายของเนื้อหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น

    3. ระบุพยานหลักฐานที่เพียงพออันเป็นพื้นฐานทางกฎหมายเพื่อออกคำสั่งดังกล่าว

    4. หากเป็นไปได้ ให้ระบุระยะเวลาที่ควรควบคุมเนื้อหาดังกล่าว

  3. ความรับผิดใด ๆ สำหรับสื่อตัวกลางต้องมีสัดส่วนเหมาะสมและเชื่อมโยงโดยตรงกับพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของสื่อตัวกลางนั้น กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อการควบคุมเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม

  4. สื่อตัวกลางต้องไม่รับผิดกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด ๆ ที่ไม่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักการนี้

3

คำขอให้ควบคุมเนื้อหาต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ และเป็นไปตามกระบวนการอันควรตามกฎหมาย

สอดคล้องกับหลักการข้อที่ 2 สื่อตัวกลางไม่ควรต้องควบคุมเนื้อหากรณีที่ไม่มีคำสั่งจากหน่วยงานศาล หากรัฐบาลหรือภาคเอกชนที่ร้องขอให้มีการควบคุมเนื้อหา จะต้องปฏิบัติตามหลักการต่อไปนี้

  1. ต้องไม่กำหนดให้สื่อตัวกลางประเมินในแง่สาระบัญญัติของความชอบด้วยกฎหมายของเนื้อหาของบุคคลที่สามนั้น

  2. คำสั่งให้ควบคุมเนื้อหาที่ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีคุณลักษณะในขั้นต่ำดังต่อไปนี้

    1. ระบุตัวบทกฎหมายที่สนับสนุนว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    2. ระบุยูอาร์แอลและคุณลักษณะของเนื้อหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น

    3. มีเนื้อหาครอบคลุมอายุความ ข้อยกเว้น และข้อต่อสู้ทางกฎหมายกรณีที่เป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้งานเป็นผู้ผลิต

    4. รายละเอียดการติดต่อของบุคคลหรือหน่วยงานที่ออกคำสั่ง เว้นแต่มีข้อห้ามตามกฎหมาย

    5. พยานหลักฐานมากเพียงพอเพื่อสนับสนุนการออกคำสั่งดังกล่าว

    6. การประกาศความสุจริตใจว่าข้อมูลที่ให้มีความเที่ยงตรง

  3. คำสั่งให้ควบคุมเนื้อหาอันเป็นผลมาจากนโยบายการควบคุมเนื้อหาของสื่อตัวกลาง ต้องมีคุณลักษณะในขั้นต่ำดังต่อไปนี้

    1. เหตุผลว่าทำไมเนื้อหาดังกล่าวถือเป็นการละเมิดนโยบายการควบคุมเนื้อหาของสื่อตัวกลาง

    2. ระบุยูอาร์แอลและคุณลักษณะของเนื้อหาที่ละเมิดนโยบายการควบคุมเนื้อหา

    3. รายละเอียดการติดต่อของบุคคลหรือหน่วยงานที่ออกคำสั่ง เว้นแต่มีข้อห้ามตามกฎหมาย

    4. การประกาศความสุจริตใจว่าข้อมูลที่ให้มีความเที่ยงตรง

  4. สื่อตัวกลางซึ่งเป็นที่ตั้งเผยแพร่เนื้อหาที่อาจถูกกำหนดตามกฎหมายให้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งให้ควบคุมเนื้อหา กรณีที่เป็นเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการส่งคำขอและคำร้องที่ชอบด้วยกฎหมายไปยังผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหา หรือการแจ้งให้ผู้ร้องทราบถึงเหตุผลว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวได้  (‘notice and notice’) สื่อตัวกลางไม่ควรถูกกำหนดให้ต้องประกันว่าต้องสามารถจำแนกตัวผู้ใช้งานได้

  5. ในการส่งต่อคำขอ สื่อตัวกลางต้องระบุคำอธิบายอย่างชัดเจนและเข้าถึงได้เพื่อให้ผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหาทราบถึงสิทธิของตนเอง รวมทั้งในทุกกรณีที่สื่อตัวกลางจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อควบคุมเนื้อหา โดยต้องแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบถึงขั้นตอนการโต้แย้งหรือกลไกการอุทธรณ์คำสั่ง

  6. ถ้าสื่อตัวกลางจำกัดเนื้อหาซึ่งอยู่ในระบบเครือข่ายของตนโดยอ้างคำสั่งให้ควบคุมเนื้อหา ต้องเป็นการปฏิบัติที่เป็นไปตามหลักการข้อที่ 6 ว่าด้วยความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ด้านล่าง

  7. ควรกำหนดบทลงโทษกรณีที่มีการอ้างคำสั่งให้ควบคุมเนื้อหาโดยมิชอบหรือโดยไม่สุจริตใจ

4

กฎหมายและคำสั่งและการปฏิบัติเพื่อควบคุมเนื้อหาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยความจำเป็นและความได้สัดส่วน

กฎหมาย ระเบียบ และการปฏิบัติเพื่อควบคุมเนื้อหาต้องเกิดจากเหตุจำเป็นและมีสัดส่วนเหมาะสมต่อสังคมประชาธิปไตย

  1. การควบคุมเนื้อหาใด ๆ ควรจำกัดเฉพาะเนื้อหาส่วนที่เป็นปัญหา

  2. เมื่อมีการควบคุมเนื้อหา ต้องมีการนำมาตรการทางเทคนิคที่มีลักษณะควบคุมจำกัดน้อยสุดมาใช้

  3. กรณีที่มีการควบคุมเนื้อหาเนื่องจากเป็นเนื้อหามิชอบด้วยกฎหมายสำหรับภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง หากสื่อตัวกลางให้บริการข้ามภูมิภาค ในกรณีเช่นนั้น การควบคุมเนื้อหาจะต้องจำกัดอยู่เฉพาะภูมิภาคดังกล่าว

  4. กรณีที่เป็นการควบคุมเนื้อหาเนื่องจากความไม่ชอบด้วยกฎหมายตามระยะเวลาที่กำหนด คำสั่งควบคุมต้องไม่มีผลเกินระยะเวลาดังกล่าว และต้องมีการต่ออายุคำสั่งควบคุมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประกันการมีผลบังคับใช้

5

กฎหมายและนโยบายและการปฏิบัติเพื่อควบคุมเนื้อหาต้องเป็นไปตามกระบวนการอันควรตามกฎหมาย

  1. ก่อนจะอ้างคำสั่งหรือคำขอเพื่อควบคุมเนื้อหาใด ๆ สื่อตัวกลางและผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหาต้องได้รับแจ้งถึงสิทธิของตนที่จะให้ข้อมูล เว้นแต่กรณีที่เป็นพฤติการณ์ที่เป็นข้อยกเว้น ซึ่งในกรณีเช่นนั้นต้องมีการทบทวนคำสั่งดังกล่าวภายหลังการบังคับใช้แล้ว และการปฏิบัติต้องเกิดขึ้นทันทีที่เป็นไปได้

  2. กฎหมายกำกับดูแลสื่อตัวกลางใด ๆ ต้องกำหนดให้ทั้งผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหาและสื่อตัวกลางมีสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งให้ควบคุมเนื้อหานั้น

  3. สื่อตัวกลางควรกำหนดให้ผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหาเข้าถึงกลไกเพื่อทบทวนคำวินิจฉัยเพื่อควบคุมเนื้อหา กรณีที่เห็นว่าเป็นการละเมิดนโยบายการควบคุมเนื้อหาของสื่อตัวกลาง

  4. กรณีที่ผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ผลิตเนื้อหาชนะในการอุทธรณ์คำสั่งตามข้อ (b) หรือให้มีการทบทวนคำวินิจฉัยเพื่อควบคุมเนื้อหาตาม (c) สื่อตัวกลางควรนำเนื้อหาเหล่านั้นกลับเข้ามาในเครือข่ายเพื่อการเผยแพร่

  5. สื่อตัวกลางไม่ควรเปิดเผยข้อมูลที่สามารถจำแนกตัวบุคคลของผู้ใช้งาน เว้นแต่มีคำสั่งจากหน่วยงานศาล ระบบที่กำหนดความรับผิดของสื่อตัวกลางต้องไม่กำหนดให้สื่อตัวกลางเปิดเผยข้อมูลที่สามารถจำแนกตัวบุคคลของผู้ใช้งาน เว้นแต่มีคำสั่งจากหน่วยงานศาล

  6. ในการจัดทำและบังคับใช้นโยบายการควบคุมเนื้อหา สื่อตัวกลางควรเคารพหลักสิทธิมนุษยชน ในทำนองเดียวกันรัฐบาลมีพันธกรณีต้องประกันว่านโยบายการควบคุมเนื้อหาของสื่อตัวกลาง เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน

 

6

ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ต้องเป็นองค์ประกอบของกฎหมายและนโยบาย รวมทั้งการปฏิบัติเพื่อการควบคุมเนื้อหา

  1. รัฐบาลต้องเผยแพร่กฎหมาย นโยบาย การตัดสินใจ และระเบียบในรูปแบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดของสื่อตัวกลาง ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตในเวลาที่เหมาะสมและมีรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้

  2. รัฐบาลต้องไม่ใช้มาตรการนอกกระบวนการกฎหมายเพื่อควบคุมเนื้อหา รวมทั้งการสร้างแรงกดดันที่มีข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การให้บริการ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนหรือบังคับให้เกิดการปฏิบัติที่อ้างว่าเกิดขึ้นโดย “สมัครใจ” และเพื่อให้เกิดข้อตกลงในการควบคุมการค้า หรือควบคุมการเผยแพร่เนื้อหาต่อสาธารณะ

  3. สื่อตัวกลางควรเผยแพร่นโยบายการควบคุมเนื้อหาของตนผ่านอินเทอร์เน็ต โดยใช้ภาษาที่ชัดเจนและรูปแบบที่เข้าถึงได้ มีการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยหากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ และแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบหากมีการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้อง

  4. รัฐบาลต้องเผยแพร่รายงานด้านความโปร่งใส โดยระบุข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำสั่งและคำขอที่มีต่อสื่อตัวกลาง เพื่อให้ควบคุมเนื้อหาใด ๆ

  5. สื่อตัวกลางควรเผยแพร่รายงานด้านความโปร่งใส โดยระบุข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการควบคุมเนื้อหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติตามคำขอของรัฐบาล ตามคำสั่งของศาล ตามคำร้องของเอกชน และตามการบังคับใช้นโยบายการควบคุมเนื้อหา

  6. กรณีที่มีการควบคุมเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของสื่อตัวกลาง และสามารถแสดงข้อความแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานที่เข้าถึงเนื้อหาได้ทราบ สื่อตัวกลางต้องแสดงคำเตือนที่ชัดเจนเพื่ออธิบายว่ามีการควบคุมเนื้อหาใด ๆ และเหตุใดจึงทำเช่นนั้น

  7. รัฐบาล สื่อตัวกลาง และภาคประชาสังคมควรร่วมมือทำงานเพื่อจัดทำและสนับสนุนกลไกกำกับดูแลที่เป็นอิสระ โปร่งใส และไม่ลำเอียง เพื่อประกันให้เกิดการตรวจสอบได้ต่อนโยบายและการปฏิบัติเพื่อควบคุมเนื้อหา

  8. กรอบและกฎหมายความรับผิดของสื่อตัวกลางควรกำหนดให้มีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบต่อระเบียบและแนวปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อประกันให้มีเนื้อหาที่เป็นปัจจุบัน เป็นผล และไม่เป็นภาระจนเกินควร การทบทวนตามวาระเช่นนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของกลไกเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติและผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ยังควรมีข้อบทให้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ทั้งในแง่ต้นทุน ประโยชน์ที่ชัดเจน และผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน